ถึงเวลาแล้ว ที่คุณต้องหันมาใส่ใจน้ำมันเครื่อง
. นอกจากรถเร็ว รถแรง บวกกับความเท่ห์ภายนอกแล้ว เรื่องสมรรถนะภายในก็สำคัญมากๆเช่นกัน วันนี้เราจึง นำเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องมาฝากกัน
น้ำมันเครื่องที่มีขายกันอยู่ตามท้องตลาดนั้นมีมากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีเกรดของน้ำมันเครื่องที่แตกต่างกันไป โดยน้ำมันเครื่องนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
น้ำมันเครื่องชนิดธรรมดา จะมีระยะเวลาการใช้งานประมาณ 4000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องชนิดกึ่งสังเคราะห์ จะมีระยะการใช้งานประมาณ 6000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % จะมีระยะการใช้งานประมาณ 10000 กิโลเมตร
โดยน้ำมันเครื่องแต่ละชนิดจะมีเกรดของน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะต้องส่งน้ำมันเครื่องของตนเองนั้นไปทดสอบคุณภาพที่สถาบัน AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE หรือ API โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่
1.เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับสำหรับน้ำมันเบนซิน
โดยเกรดน้ำมันเครื่องประเภทนี้ จะมีตัวอักษร S ตามหลัง API และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจากเกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด จาก A-Z เช่นน้ำมันเครื่องตัวนี้ได้เกรด L ตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะเขียนว่า API SL เป็นต้น
2.เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
โดยเกรดน้ำมันเครื่องประเภทนี้ จะมีตัวอักษร C ตามหลังAPI และจะนำหน้าเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะเรียงลำดับจากเกรดที่ต่ำสุด-เกรดที่สูงสุด จาก A-Z เช่นน้ำมันเครื่องตัวนี้ได้เกรด I ตัวอักษรข้างกระป๋องก็จะเขียนว่า API CI-6 ซึ่งตัวเลข 6 ที่ตามหลังนั้นจะบอกว่าน้ำมันเครื่องชนิดนี้เหมาะกับเครื่องยนต์ 6 สูบ เป็นต้น
โดยค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องนั้นจะถูกทดสอบโดยสถาบัน สมาคมวิศวกรรมยานยนต์หรือ SAE(SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS) โดยค่าความหนืดนั้นจะเป็นตัวเลข 5,10,15,30,40,50 ดังตัวอย่างเช่น
5W : หมายถึง ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องในอุณหภูมิที่ติดลบหรืออุณหภูมิที่เย็นจัด ซึ่งน้ำมันเครื่องตัวนี้มีค่าความหนืดอยู่ในเกรดที่ 5
40 : หมายถึง ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องในอุณหภูมิ 100 องศา ซึ่งน้ำมันเครื่องตัวนี้มีค่าความหนืดอยู่ในเกรดที่ 40
ซึ่งปกติแล้วการเลือกน้ำมันเครื่องของรถแต่ละคันนั้นให้อิงตามคู่มือที่ติดมากับตัวรถโดยค่าปกตินั้นจะอยู่ที่ 40 ในค่าความหนืดตัวหลัง แต่ถ้าเกิดเมื่อใช้รถยนต์หนักและเครื่องยนต์มีอายุมากและกินน้ำมันเครื่อง ควรมีการปรับเบอร์ขึ้นไปเป็นเบอร์ 50 เพื่อป้องกันการรั่วของกำลังอัด แต่ถ้ารถยนต์อยู่ในสภาพปกติและอากาศไม่ร้อนมาก ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดน้อยๆเพื่อที่ตัวน้ำมันเครื่องจะได้สามารถไหลผ่านไปได้ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดน้อยเกินไป ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ไม่มีฟิลม์ไปเคลือบชิ้นส่วนโลหะภายใน ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าที่ควรนั่นเอง