Author Archives for admin
สาวกรถซิ่งคงไม่พลาดที่จะพาลูกชายหัวโปรดไปโมหรอกจริงมั้ย ติดตั้งกล่องเพิ่มแรงม้า สรรหาอุปกรณ์เพิ่มความแรง ที่ไหนว่าดีก็ไป หมดตังค์ก็ไม่รู้เท่าไหร่ บางรายทำแล้วก็ไม่ได้แรงขึ้นเท่าที่ควร ปัจจุบันมีผู้ประกอบการมากมายที่ได้คิดทำกล่อง ECU ขึ้นมา ซึ่งมีคุณภาพและราคาที่แตกต่างกันออกไป วันนี้ DynoArtPower เราก็มีสิ่งดีๆมานำเสนอกัน
เราจะพาไปรู้จักกับเจ้ากล่องสมองกลนี้กันก่อนดีกว่า มันมีชื่อว่า Unichip Q เป็นกล่อง ECU ในประเภท Piggy Back หมายถึง มีการใช้งานร่วมกันกับกล่อง ECU เดิมที่ติดรถมาจากโรงงานนั่นเอง โดยที่เจ้ากล่อง Unichip Q นี้ เป็นตัวไปปรับค่าการทำงานชิ้นส่วนในเครื่องยนต์เพื่อให้เครื่องยนต์นั้นทำงานสมบูรณ์เต็มประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง โดยความสามารถหลักๆของเจ้ากล่องนี้ คือ
1.สามารถจูนได้กับเชื้อเพลงหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น E10, E20, E85, ดีเซล, LPG และ NGV
2.สามารถจูนปรับค่าเพิ่ม – ลด ระหว่างส่วนผสมของน้ำมันและอากาศได้
3.สามารถเพิ่มหรือลดองศาไฟในการจุดระเบิดได้
4.สามารถปรับจูนได้ทั้งหมด 5 ตาราง เพื่อความเหมาะสมในการใช้น้ำมันในแต่ละประเภท
5.ประมวลผลด้วยความเร็ว 32 bit โดยจะเห็นว่ากล่องนี้นั้นสามารถรองรับรถที่โมดิฟายแล้ว ได้ในระดับนึงเลยทีเดียวและความสามารถของมันก็ไม่แพ้กล่องแต่งใดเลย
แหม่ะ !! พูดมาขนาดนี้ถ้าเทียบกับอาหารคงน้ำลายไหลกันเป็นแถว ทางร้าน DynoArtPower ของเรายังมีสิ่งดีๆมานำเสนอท่านลูกค้าอีกมากมาย ด้วยประสบการณ์การจูนรถที่ยาวนานกว่า 20 ปีของน้าหมู Unichip รับประกันว่าคุณจะไม่ผิดหวัง เพราะ น้าหมูได้จูนรถให้นักแข่งชื่อดังจนคว้ารางวัลมานักต่อนักแล้ว ของดีเขาไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก จริงมั้ย? 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น ถ้าไม่อยากเป็นเต่าล้านปี รีบพาลูกชายของคุณมาเจอเราสิครับ
ปัจจุบันตามอู่ที่รับติดตั้งกล่องเพิ่มแรงม้า ยังใช้การจูนแบบเก่าอยู่คือ Inertia Dyno ซึ่งแตกต่างจาก ร้าน DynoArtPower ของเรา ที่มีการจูนแบบใหม่คือ จูนบน Loading Dyno นั่นเอง ก่อนอื่นเราจะมาแนะนำเจ้า 2 ตัวนี้ให้คุณได้รู้จักกันก่อน ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
Inertia Dyno เป็นเครื่องจักรที่ใช้แรงขับเคลื่อน หรือควบคุมแรงเฉื่อย ยกตัวอย่างเช่น Flywheel เป็นต้น ซึ่งจะมีวิธีวัดแรงเฉื่อยโดยการวัดค่าจากคอมพิวเตอร์ Inertia Dyno เป็นรูปแบบของ Dyno ที่มีราคาถูกที่สุด และเรียบง่ายที่สุดก็ว่าได้ สามารถวัดผลด้วยคอมพิวเตอร์ และยังง่ายต่อการสร้างและเหมาะสมกับเครื่องยนต์ ทั้งจากเล็กและไปขนาดใหญ่
ซึ่ง Inertia Dyno จะเป็นส่วนนึงของพวก Chassis Dyno กล่าวคือเป็นเครื่องวัดประสิทธิภาพทั้งหมดของรถยนต์ผ่านภาระการใช้งานจริง โดยเครื่องวัดชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายลูกกลิ้งสองตัวหมุนอยู่กับล้อของรถยนต์ที่เราจะทำการทดสอบ Inertia Dyno นั้น จะคำนวนแรงม้าและแรงบิด จากน้ำหนักของลูกกลิ้งเป็นค่าหลัก แรงม้าจะได้จากการคำนวนสูตรคณิตศาสตร์ คำนวนถึงการใช้พลังงานในการสร้างอัตราเร่งให้น้ำหนักของลูกกลิ้งนั้น แต่ Inertia dyno จะไม่สามารถวัดแรงม้าแบบ Realtime ได้ การวัดจะต้องมีการกดคันเร่งเต็ม เร่งผ่านจุดเริ่มต้นไปยังจุดสิ้นสุดการวัด และจึงคำนวนแรงม้าออกมาได้
แตกต่างจาก Loading Dyno Loading Dyno จะให้ความรู้สึกที่แรงกว่า เพราะ มีพื้นที่การใช้งานที่มากกว่า กล่าวคือ รถที่ได้รับการจูนแบบเก่า หรือ Inertia Dyno สมมติหากมีแรงม้าสูงสุดที่ 50 แรงม้าก็จริง แต่มีพื้นที่การใช้งานน้อย เพราะต้องเหยียบคันเร่งให้ถึงรอบสูงๆก่อนจึงจะได้แรงม้าสูงสุด แต่การจูนแบบ Loading Dyno มีพื้นที่การใช้งานที่มากกว่า เพราะ สามารถจูนความเร็วได้ในทุกๆย่านรอบ (ตั้งแต่รอบต้นๆ) แบบ Real time แปลว่า หากคุณเหยียบคันเร่งเพียงนิดเดียว รถก็จะสามารถมีแรงแซงได้สบายๆ เพราะการขับรถในชีวิตประจำวัน เราไม่ได้ใช้ความเร็วในรอบสูงๆบ่อยสักเท่าไหร่ ทำให้การจูนบน Loading Dyno ขับง่าย ไม่ต้องเหยียบจนถึงรอบสูงสุด ก็สามารถมีแรงเร่งแซงได้ และทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้นด้วยนั่นเอง
รู้อย่างนี้แล้วคุณจะลังเลอยู่ทำไม ให้ DynoArtPower ได้ดูแลเพื่อนซี้สี่ล้อของคุณให้เร็วแรงและประหยัดน้ำมันสิครับ แวะเข้ามาเซย์ฮายปรึกษากันได้ เรายินดีให้บริการ แล้วเจอกัน
ถ้าพูดถึงส่วนต่างๆของรถยนต์ ทุกคนคงจะนึกถึง มอเตอร์ คันเร่ง พวงมาลัย ซะส่วนใหญ่ แต่รู้หรือไม่ มีส่วนหนึ่งที่สำคัญที่คุณอาจจะคุ้นหูมาตลอด แต่ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง นั่นก็คือ ไดนาโมมิเตอร์นั่นเอง
ไดนาโมมิเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในระบบการทดสอบมอเตอร์และทดสอบเครื่องยนต์ ทำหน้าที่เบรกเพื่อต้านการหมุน หรือเป็นโหลดทางกลให้กับมอเตอร์เครื่องยนต์ที่จะนำมาทดสอบ โดยที่มันจะสามารถแสดงค่าแรงบิดและความเร็ว ณ ขณะที่ทำการเบรกนั้นๆได้ แบ่งเป็น 2 หลักใหญ่ๆนั่นก็คือ แบ่งตามทิศทางการไหล แบ่งตามหลักการทำงานถ้าแบ่งตามทิศทางการไหล โดยไดนาโมมิเตอร์จะแบ่งได้สองชนิดคือ
Driving Dynamometers คือ ไดนาโมมิเตอร์ที่ทำหน้าที่ออกแรงขับโหลด เช่น โหลดที่เป็นปั๊ม หรือพวกโหลดที่เป็นคอมเพรสเซอร์ เป็นต้น
Absorption Dynamometers คือ ไดนาโมมิเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นโหลดของอุปกรณ์ที่จะนำมาทดสอบ เช่น มอเตอร์หรือเครื่องยนต์ เป็นต้น
ถ้าแบ่งตามหลักการทำงาน จะแบ่งได้ 5 อย่าง แต่ในที่นี้จะพูดถึง 2 แบบ นั่นก็คือ
1.แบบ AC และ DC ไดนาโมมิเตอร์แบบ AC เป็นระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับนั้นประกอบไปด้วยวงจรขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ โดยมอเตอร์อาจจะเป็นได้ทั้งมอเตอร์เหนี่ยวนำหรือมอเตอร์เซอร์โวก็ได้ แต่ด้วยความที่มอเตอร์เซอร์โวมีราคาแพง คนจึงใช้มอเตอร์แบบเหนี่ยวนำซะส่วนใหญ่
โดยมอเตอร์แบบเหนี่ยวนำ มีแบบจำลองที่ยุ่งยากกว่ามอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงอย่างมาก จะทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างเที่ยงตรงและแม่นยำนั้น ต้องใช้การคำนวนทางคณิตศาสตร์อย่างสูง แต่ด้วยในยุคปัจจุบัน มีเจ้าเครื่องมือที่ชื่อว่า ไมโครโปรเซสเซอร์ ที่มีความเร็วในการประมวลที่เร็ว และทำให้การควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไปอย่างง่ายดาย
2.ไดนาโมมิเตอร์แบบ DC เป็นระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบ 4-Quadrants ( 4 ขั้ว ) หรือ 2-Quadrants ( 2 ขั้ว ) แบบ 4-Quadrants จะทำให้ไดนาโมมิเตอร์ทำงานได้ทั้งสองทิศทางการหมุน แต่ถ้าเป็นแบบ 2-Quadrants จะทำงานได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น ไดนาโมมิเตอร์แบบ DC มีข้อดีอย่างนึงคือ มันสามารถทำงานได้ทั้ง 2 ระบบ นั่นก็คือ Absorption Mode และ Driving Mode ซึ่ง แรงที่จะใช้ในการขับเคลื่อนก็ขึ้นอยู่กับมอเตอร์ไฟตรงในการควบคุมเครื่องยนต์ให้ได้ประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่า ไดนาโมมิเตอร์ทั้ง 2 ชนิดนี้มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์และวิธีการใช้ให้เหมาะสมกับรถยนต์ต่างๆของผู้ใช้
นี่ก็เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่เรานำฝากกัน ทำให้คุณทำความรู้จักและสนิทสนมกับไดนาโมมิเตอร์ขึ้น
คงจะไม่ค่อยถูกกาลเทศะสักเท่าไหร่ที่จะนำรถแข่งไปแข่งขันกันบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน แม้จะแต่งรถแรง เพิ่มแรงม้า ใส่กล่อง ecu หรือมีอุปกรณ์แต่งเครื่องยนต์เจ๋งแค่ไหน รถแข่งนั้นๆก็มีที่ที่เหมาะสม ที่ควรจะอยู่ อย่างเช่นสนามแข่งต่างๆที่เปิดให้นักขับได้มาประลองความเร็ว ความแรงกัน เป็นต้น
คงไม่ต้องพูดถึง สำหรับนักแข่งกับสนามย่อมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว จะบอกว่าลิ้นกับฟันก็ไม่ผิด ซึ่งนักแข่งทุกๆคนล้วนอยากทดสอบสนามแข่งรถชั้นนำของโลกอย่าง นูร์เบอร์กริง ที่ถือเป็นสนามแข่งรถสุดท้าทายติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกเลยทีเดียว
สนามแข่งรถนูร์เบอร์กริง สนามที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตำนานแห่งอันตรายและความตายของความเร็ว ตั้งอยู่ที่เมืองนูร์เบอร์ก เมืองโบราณในเขตเทือกเขาไอเฟลที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี เมืองสำคัญของแคว้นบาเยิร์น ห่างจากมิวนิก สนามนี้ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1925-1927 โดยวัตถุประสงค์ในตอนแรก คือเพื่อเป็นสนามแข่งรถที่มีความท้าทายสูง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การนำเส้นทางบางช่วงบางตอนมาสร้างเป็นสนามแข่งรถที่มีความยาวเกือบ 30 กิโลเมตร
ได้รับการออกแบบให้มีความคล้ายกับสนามแข่งแรลลี่ในรายการ Targa Florio ซึ่งเป็นการแข่งรถที่โด่งดังมากในอดีตอีกด้วย สนามนูร์เบอร์กริง ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นสนามที่ขับยาก ท้าทาย และอันตรายที่สุดสนามหนึ่งในโลกเลยทีเดียว เพราะจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาคดเคี้ยว สนามแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อใช้สำหรับแข่งขันรถยนต์ Formula 1 รายการเยอรมันกรังด์ปรีซ์ตั้งแต่ปี 1947 จนถึง 1970 ก่อนที่สนามจะถูกงดทำการแข่งขันไประยะหนึ่ง เนื่องจากความยากและอันตรายของสภาพภูมิประเทศ และเส้นทาง ทำให้มีนักแข่งหลายต่อหลายคนต้องจบชีวิตไปกับสนามแห่งนี้ ด้วยความยากและท้าทายที่ได้กล่าวมา จึงทำให้นักแข่ง และบริษัทฯ ผลิตรถยนต์ทั่วโลก พร้อมใจกันส่งรถเพื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพ หากแต่สนามนูร์เบอร์กริงไม่ได้เปิดกว้าง และง่ายดายต่อการลงสนามเท่าไหร่นัก เพราะผู้ที่จะมีสิทธิ์ในการลงสนาม และแข่งขันในรายการ 24 hrs. Nürburgring ได้นั้น จะต้องมีประสบการณ์จากการขับในสนาม Nürburgring 26 กิโลเมตร นี้ก่อน และต้องสะสมชั่วโมงได้ไม่น้อยกว่าคนละ 6 ชั่วโมง ผ่านทางรายการ จึงจะได้รับสิทธิ์เข้าสู่รายการแข่งขัน 24 ชั่วโมง นูร์เบอร์กริง ได้นั่นเอง
คงจะได้ยินผ่านหูมาไม่น้อยกับบรรดาชื่อรถแข่ง ที่แต่งรถแรงมาประลองเส้นทางกัน ใช้อุปกรณ์ต่างๆ วิธีแต่งรถ และต้องอาศัยความเชี่ยวชาญอย่างมาก เพื่อให้ได้ผลสำเร็จดั่งใจหมาย
รถ Formula 1 เจ้าแห่งความเร็ว ความแรง ดีโซน์โฉบเฉี่ยว ขอบอกเลยว่าใครที่ชอบรถแข่งหรือชอบแข่งรถ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Formula 1 อย่างแน่นอน ด้วยการออกแบบที่ต้านลมและขับเคลื่อนได้ดีเยี่ยม จึงถือเป็นเสน่ห์ของรถคันนี้ที่ทำให้หนุ่มๆสาวๆหลายคนหลงใหล อีกทั้งยังมีการจัดแข่งขันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งวันนี้ เราจะพาไปรู้จักกับรถชนิดนี้เพิ่มเติมกัน จะเป็นยังไงนั้น เราไปดูกันเลย
ฟอร์มูลาวัน หรือ รถสูตรหนึ่ง ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า เอฟวัน เป็นรถที่มีดีไซน์ต่างจากรถแข่งคันอื่นด้วย ด้วยตัวรถที่โค้งมนที่ออกแบบให้รับแรงลมในสนาม ตัวเครื่องมีความเร็วสูง ถือเป็นการแข่งขันรถระดับสูงสุดจากความช่วยเหลือของสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ (FIA) โดยคำว่า สูตร หมายถึงกฎกติกาที่ผู้เข้าแข่งขันและรถทุกคันต้องปฏิบัติตาม นอกจากนี้ยังมีฤดูกาลแข่งขันของเอฟวัน ประกอบด้วยการแข่งขันหลายครั้งหรือที่เรียกว่า กรังด์ปรีซ์ (Grands Prix) ตามวัตถุประสงค์การสร้างของสนามแข่งและไปจนถึงขนาดที่เล็กลง ถนนสาธารณะและถนนปิดในเมือง
โดยผลของการแข่งขันจะรวมและพิจารณาให้กับแชมป์ในส่วนของผู้ขับและผู้ผลิต คือ ในส่วนของผู้ขับรถ ทีมผู้ผลิต เจ้าหน้าที่ทางรถ ผู้จัดเตรียม และสนามต้องมีผู้ที่ถือใบอนุญาต Super License ที่เป็นใบอนุญาตการแข่งรถสูงสุดจาก FIA ไม่เช่นนั้นจะลงแข่งไม่ได้
โดยการแข่งขันรถสูตรหนึ่งหรือ Formula 1 นี้ แข่งด้วยความเร็วสูงถึง 360 กม/ชม. กับเครื่องยนต์สูงสุด 18,000 รอบ/นาที ประสิทธิภาพของรถขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์อากาศพลศาสตร์การเบรกและยาง เป็นการแข่งขันที่เร็วที่สุด ท้าทายที่สุด และอันตรายที่สุดอีกด้วย
การแข่งขันรถ Formula 1 ยังถือเป็นที่มีรายการทีวีที่มีผู้ชมมหาศาล มีผู้ชมทั่วโลกกว่า 600 ล้านคนต่อฤดูกาล และด้วยความที่เป็นกีฬาที่แพงที่สุดในโลก จึงมีผลต่อด้านเศรษฐกิจอย่างมาก และการเงินและการต่อสู้ด้านการเมือง และยังปรากฏถึงด้านการค้าที่นำไปสู่การหาผู้สนับสนุนอย่างมาก นำไปสู่การหาค่าใช้จ่ายของผู้ผลิต อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2000 ค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มที่สูงขึ้น หลายทีม รวมถึงทีมผู้สร้างรถและทีมที่มีผู้สนับสนุนน้อย ก็ล้มหายไปหรือถูกขายให้บริษัทอื่น สิ่งนี้เองทำให้มีตัวจำกัดผู้เข้าร่วมแข่งขันด้วย
ขอเกริ่นก่อนเลยว่ารถที่เป็นเจ้าแห่งความเร็วแรงที่สุดในสนามแข่งคงไม่พ้น รถ Formula 1 แน่ๆ ซึ่งหลายๆคนอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมรถคันนี้ถึงได้เร็วขนาดเสือชีตาร์เรียกพี่ มีวิธีแต่งรถ หรืออุปกรณ์การแต่งรถ จะเจ๋งแค่ไหน วันนี้เราจะพาไปดู 5 เทคโนโลยีที่เราอาจจะได้มาจากรถ Formula 1 มีอะไรบ้าง
1.Monocell
ห้องโดยสารแยกส่วน ช่วยในเรื่องของความปลอดภัยหรือการป้องกันการชนในขณะที่รถยนต์ใช้ความเร็วสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้ช่วงล่างหนึบขึ้น ที่รถ Formula1 ใช้กันมาอย่างยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ
2.Flywheel Kers
เทคโนโลยีประหยัดน้ำมันอย่างไฮบริดที่หลายคนคงคิดไม่ถึงว่าได้มาจากรถ Formula 1 เพราะ หนึ่งในหลายชิ้นส่วนนั้น Flywheel Kers ถือเป็นปัจจัยสำคัญ นำแรงที่เหลือจากการหมุนล้อหลังที่ไม่ได้ใช้งานมาเก็บสะสมไว้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เริ่มใช้ในรถยนต์หลายรุ่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Volvo หรือ Jaguar ถือเป็นค่ายใหญ่ที่ให้ความสนใจอย่างมาก
3.Primax95 Extra & V Power
น้ำมันถือเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนรถยนต์อย่างยิ่ง ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน ก็หวังที่จะผลิตน้ำมันออกมาให้ตรงตามสมรรถนะเครื่องยนต์ จึงพบว่าน้ำมันชั้นเยี่ยมอย่าง Primax95 Extra & V Power ก็สามารถหาเติมได้ใกล้บ้าน แต่มีราคาที่สูงตามขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องของประสิทธิภาพนั้น ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ต้องลอง
4.ยางรถยนต์
ยางรถยนต์ชั้นนำหลายเจ้านั้นเคยผ่านสนามแข่งรถ Formula 1 มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Bridgestone หรือ Pirelli ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายยางแต่เพียงผู้เดียวในสนามหลายๆฤดูกาลที่ผ่านมา ยางที่อยู่ในสนามนั้นอาจจะมีเนื้อยางที่ทำเพื่อตอบสนองการแข่งขัน ทำให้ค่ายยางอย่าง Bridgestone นั้น เป็นค่ายยางที่มีคุณภาพและได้รับความไว้วางใจมาแล้วจากคนทั่วโลก
5.ระบบช่วงล่างใน Lamborghini
รถรุ่นใหม่ของค่ายนี้ใช้ระบบช่วงล่างเดียวกับรถ Formula 1 ซึ่งทำให้ คนขับสามารถควบคุมรถได้แม่นยำมากขึ้น แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนรถแข่งอย่างแท้จริงด้วย ซึ่งนอกจากข้อดีเรื่องการควบคุมรถแล้ว ช่วงล่างนี้ยังทำมาจากวัสดุน้ำหนักเบา เช่น อลูมิเนียมและคาร์บอน ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดในวงการยานยนต์เลยทีเดียว
ไม่เคยมีนิยามความเร็ว ความแรงไหนๆ ที่จำกัดว่าใช้ได้เฉพาะผู้ชาย ผู้หญิงอย่างเราๆก็มีหัวใจนักซิ่ง อยู่ในตัวเหมือนกัน ทั้งคนไทยและต่างประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการแข่งรถ ไม่เพียงเสน่ห์ความสวยเซ็กซี่ แต่ความเป็นสิงห์นักขับก็ไม่แพ้ชาติชายเลยทีเดียว วันนี้เราจะพาไปดูกัน ว่ามีใครบ้าง
1.กระแต – ศุภักษร ไชยมงคล
ดาราสาวสุดเซ๊กซี่ ที่แทบไม่มีใครเชื่อแลยว่าจะเป็นนักแข่งรถตัวยง แถมยังกวาดรางวัลมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Champ Vios Lady Cup 2009 หรือการแข่งขันรถที่บางแสน นอกจากนั้นในขณะตอนที่แข่งขันทีมของเธอก็เป็นทีมผู้หญิงทีมเดียวในการแข่งขัน ซึ่งทีมที่เหลือเป็นผู้ชายทั้งหมดกว่า 20 ทีม ทีมของเธอได้ที่ 5 แหมไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ย
2.พิม – พิมพรรณ หงษ์ปาน
สาวเศรษฐศาสตร์ จุฬาที่ใครๆก็คิดว่าเป็นเด็กเรียน เด็กเนิร์ส ไม่มีใครคิดว่าเธอจะเป็นนักแข่งซิ่งสิงห์สนามสังกัดทีม เอลฟ์ พาราวินเซอร์ สิทธิผล ล่ะสิ เรียกได้เลยว่าเป็นนักแข่งรถหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดก็ว่าได้ เพราะเธอคว้าแชมป์ Toyota Vios Lady ที่จัดขึ้นครั้งแรกใน 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยอายุ 19 ปีเท่านั้น (ปัจจุบันอายุ 21)
3.ป้อ – อัจฉราพร พันธ์พาณิชย์ เลิศประเสริฐภากร
คนๆนี้เธอไม่ธรรมดามากๆ เพราะนอกจากอาชีพแข่งรถแล้ว เธอยังเป็นถึงรองกรรมการผู้จัดการบริษัทในเครือ ที บี เอ็น อันประกอบด้วย โตโยต้า ที บี เอ็น, ที บี เอ็น ยูสคาร์, ที บี เอ็น ลีสซิ่ง, ที บี เอ็น พร็อพเพอร์ตี้ และ ที บี เอ็น เรสเตอรองท์ โปรไฟล์แน่นมาก ทั้งเก่ง ฉลาดและขาลุยด้วย และยังเป็นนักแข่งมืออาชีพ ที่เคยได้แข่งร่วมกับนักแข่งชายกว่าหลายคน และคว้ารางวัลที่ 2 รองชนะเลิศมาครอง
4.ปูเน่ – อนัญญาลันน์ วัฒนะนุพงศ์
เธอคนนี้เป็นนักแข่งธรรมดา เพราะดีกรีเป็นถึงรองนางงาม อาจารย์สอนแฟชั่นดีไซน์ และเป็นนักแข่งรถ ซึ่งไม่ใช่รถสี่ล้อ แต่เป็นรถแข่ง 2 ล้อนั่นเอง เธอคนนี้ได้รับฉายา “สิงห์สาวนักบิด” “นางฟ้าแห่งวงการมอเตอร์ไซค์” ในการแข่งขันครั้งแรก เธอได้ที่ 7 จากนักแข่งขัน 16-17 คน หลังจากนั้นเธอก็แข่งขันขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น KSR-Lady หรือ D-Tracker 150 cc จนไต่เต้าขึ้นมาเป็น ที่ 5 ที่ 4 และที่ 3 ทั้งเก่ง ทั้งสวยจนน่ายกย่องจริงๆ