Author Archives for admin
ความเร็ว ความแรง รถแต่ง รถแข่ง รถซิ่ง แหม.. ได้ยินแล้วก็กระส่ายกระสับ ใครๆก็ชอบทั้งนั้น เราอาจจะรู้จักสนามดังๆต่างๆมากมาย ที่มีความโหดและท้าทายทั่วโลก แต่วันนี้เราจะพาไปดูสนามแข่งทางตรงที่หลายคนอาจจะมองว่าง่าย แต่แท้จริงแล้วเป็นยังไงไปดู
Drag Racing คือ การแข่งขันรถแข่งประเภททางตรง โดยจะจับคู่ ปล่อยรถไปทีละสองคัน ในระยะทางมาตรฐานที่ 402 เมตร หรือที่เรียกว่า ควอเตอร์ไมล์นั่นเอง โดย Drag Racing นี้ จะมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 องค์ประกอบ ได้แก่
1.TRACK
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สนามแข่งหรือลู่วิ่งนั่นเอง แต่ไม่ใช่ถนนหลวง เพราะ Track นั้น จะมีลักษณะเป็นทางตรง มีลู่วิ่งจริงๆประมาณ 402 เมตร และเป็นทางเบรคอีกประมาณ 400 เมตร แต่ความแตกต่างของแต่ละสนามก็คือ ผิวแทร็ก ไม่ว่าจะเป็น Track ลาดยาง , Track คอนกรีต และ Track ผสมนั่นเอง
2.Driver
หรือ นักขับรถ ซึ่งสำคัญมากๆ เพราะไม่มีรถคันไหนที่ขับได้ด้วยตัวเองแน่ๆ ซึ่งการแข่ง Drag นี้ ยากกว่าการแข่งรถในสนามจริงทั่วไป เพราะถึงแม้ Drag Racing จะมีทางตรงสั้นๆ แต่การควบคุมรถนั้นไม่ใช่ง่ายๆเลย ดังนั้นคนแข่งต้องมีสมาธิและทักษะการแข่งรถพอสมควร
3.Drag Car
หรือรถที่ใช้ในการแข่ง Drag นั่นเอง โดยรถที่แข่งนั้นต้องมีลักษณะโครงสร้างที่สมบูรณ์ ตัวรถเบา เพื่อที่จะได้ออกตัวเร็ว เพราะการแข่ง Drag เป็นการแข่งที่วัดความเร็วเป็นหลัก ตัวรถต้องลาดเอียงลู่ลม ช่วงล่างแบบคานแข่งเหมือนรถโฟล์ค หรือ 4-LINKS ที่ช่วยในเรื่องรับน้ำหนักในทุกทิศทางก็ได้
รถสำหรับแข่ง Drag Racing ต้องคำนึงความปลอดภัยเป็นหลัก ทั้งตัวถังที่เชื่อมเหล็กอย่างดี แข็งแรงกว่ารถวิ่งธรรมดา โลว์บาร์ หรือโครงเหล็กในรถช่วยป้องกันอันตรายของตัวรถจากแรงกระแทก เข็มขัดนิรภัยขนาด 3 นิ้ว เบาะโดยสารโนเมค ทนไฟได้นาน 40 วินาที รวมถึงชุดนักแข่งที่ทำจากวัสดุติดไฟยาก เพื่อป้องกันการลุกไหม้ระหว่างแข่งขันด้วย สำหรับการแข่งรถ พบว่าได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ชาย และผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว แต่สังคมไทยมักจะเห็นภาพการแข่งรถบนถนนสาธารณะ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน การแข่งขันนั้ความเร็วสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย มิเช่นนั้นจะเดือดร้อนได้
จะมีสักกี่คนที่รู้ตัวและทำตามความฝันตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย โอกาสมีเข้ามาเสมอขึ้นอยู่กับว่าจะถูกเวลาหรือไม่ ชีวิตอย่างเราๆ คงจะต้องรอให้โตพอ ทำงานเก็บเงินออกรถสักคัน โดยเฉพาะคุณผู้ชายแล้วคงจะปล่อยรถให้เป็นออริจินัลยากแน่นอน ขอให้ได้แต่งโน่นนิดนี่หน่อย ใส่กล่อง ECU เพิ่มแรงม้า หาวิธีทำให้รถแรง ความสุขเล็กๆที่ผู้หญิงไม่เข้าใจ วันนี้เราจะพาไปดูหนุ่มน้อยคนหนึ่ง เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คุณได้
แซนดี้ เคราแก้ว สตูวิค หนุ่มน้อยลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ เกิดเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2538 เป็นคนจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากธุรกิจของคุณพ่อมาร์ติน เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีในจังหวัดระยอง ครอบครัวจึงย้ายมาอยู่ที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง
แซนดี้เริ่มต้นขับรถเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ โดยเล่นโกคาร์ทที่พัทยา ทำให้เขาสนใจและไม่นานครอบครัวก็พาแซนดี้ไปที่สนามแข่งนั้น เข้าสนามแข่งทุกอาทิตย์ พออายุได้ 6 ขวบมีโอกาสได้ลองแข่งขันครั้งแรกก็คว้าที่ 3 มาครองอย่างไม่คาดคิด นอกจากความเร็วและมี ไมเคิล ชูว์มัคเกอร์เป็นไอดอล พร้อมกับความฝันแบบเด็กๆที่อยากจะไปแข่งเอฟวันแบบ ชูว์มัคเกอร์ให้ได้
เมื่อแซนดี้อายุได้ 13 ปี เขาได้รับชัยชนะจากการแข่งขันเอเชี่ยนคาร์ทติ้งแชมป์เปี้ยนชิพ และคว้าถ้วยรางวัลในเมืองไทยมาครองมากมาย และนั่นคือจุดเปลี่ยนให้ขยับขึ้นสู่ระดับฟอร์มูล่าอย่างจริงจัง เมื่อย่างเข้า 15 ปี แซนดี้ได้เข้าร่วมการแข่งขันเอเชี่ยนฟอร์มูล่าเรโนลด์ โดยมีโค้ชชาวฝรั่งเศส ฟิลิป เดคองเบ้ ซึ่งเป็นอดีตแชมป์ F3 เป็นผู้จัดการทีมเอเชียเรสซิงทีม เป็นครูฝึกให้ แซนดี้ถือเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดแห่งทำเนียบที่สามารถคว้าแชมป์ Asian Formula Renault 2010 มาครอง โดยเป็นคนไทยคนแรกที่คว้าแชมป์นี้ได้สำเร็จ
แซนดี้ ได้รับการทาบทามจากหลายทีมทั่วโลกให้เข้าร่วมทีม อาทิ ทีมจากอเมริกา ออสเตรเลีย และ ยุโรป สุดท้ายตัดสินใจเข้าแข่งขันใน ฟอร์มูล่าเรโนลด์ ยูโรคัพ 2011 ถือเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าร่วมในซีรีส์ดังกล่าว และต้องปรับตัวในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศอันหนาวเย็น เครื่องยนต์ที่มีกำลังแรงขึ้นเพราะเป็นระดับมืออาชีพ สนามแข่งในยุโรปที่ไม่เคยได้มีโอกาสฝึกซ้อมมาก่อน เสียเปรียบนักขับชาวยุโรปที่คุ้นเคยกับสนามมากกว่า
ในปี 2012 เขามุ่งมั่นในการแข่ง ฟอร์มูล่า เรโนลด์นอร์ธเทิร์น ยูโรเปี้ยนคัพ เขาได้เข้ารับการฝึกความพร้อมของทั้งร่างกายและจิตใจ จาก เฮลมุท ฟิงค์ เทรนเนอร์ส่วนตัวชื่อดังที่เคยฝึกบรรดานักขับ F1 หลายๆคน เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพของแซนดี้ให้แข็งแกร่งมากขึ้น สิ้นสุดฤดูกาลไต่ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 14 เห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าจากปี 2011อย่างชัดเจน
ในปี 2013 แซนดี้ลงชิงชัยในการแข่งขัน European Formula 3 open ที่ยุโรป ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่น่าภาคภูมิใจแก่ประเทศไทย ขึ้นนำเป็นอันดับ1 ในตารางคะแนนรวมตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเปิดฤดูกาล
หลายครั้งที่เรามีความรู้สึกชื่นชมผู้ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ คนที่ใช้ความสามารถของตนเอง บวกกับรถคู่ใจ ที่มีความเร็ว ความแรง เข้าแข่งขันในสนามระดับโลก วิธีแต่งรถหรือแต่งเครื่องยนต์ของเขาเป็นประโยชน์ยิ่งนัก ไม่ใช่เพียงขับเท่ห์อวดสาวไปวันๆ ซึ่งเราจะมาแนะนำให้รู้จักกับคนคนนึง ที่เขาเคยประกาศยกแชมปืให้กับประเทศไทย เป็นใครไปดูกัน
โรเบิร์ต ทาดาชิ บุย (ชวกิจ บุย) หรือ “บ๊อบบี้” นักแข่งหนุ่มชาวไทยหน้าใหม่ ที่เคยคว้าแชมป์เอเชียในรายการ “ฟอร์มูล่า เอเชีย 2008” สนาม 3 ณ เซปัง เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย มาแล้ว
เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน เกิดในเมืองไทย คุณพ่อชื่อ โรเบิร์ต จอร์จ และคุณแม่ชื่อ ฟูมิโกะ บุย ครอบครัวของเขาลงหลักปักฐานในไทย พร้อมดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการออกแบบโครงการและตกแต่งโดยมีผลงานที่เห็นชัด คือ ตึกธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ สาขารัชโยธิน และ สนามกีฬาอินดอร์สเตเดียมหัวหมาก เป็นต้น
บ็อบบี้ติด 1 ใน 25 คนที่ได้รับทุนเข้าอบรมการเป็นนักแข่งรถ เส้นทางการเป็นนักแข่งของ บ๊อบบี้ เกิดจากความบังเอิญเนื่องจากค่ายบีเอ็มดับเบิลยูต้องการหานักแข่งหน้าใหม่สังกัดค่ายตัวเองจึงทำการทดสอบเด็กรุ่นใหม่และปรากฏว่า เขาสามารถคว้าตำแหน่งดาวรุ่งแห่งปี 2004 ได้ในรายการ “ฟอร์มูลา บีเอ็มดับเบิลยู สกอร์ลาชิป” ซึ่งเป็นที่น่าพอใจของเจ้าของทุนอย่างยิ่ง
เขาเริ่มสนใจและกลายเป็นความชอบกีฬาที่ใช้ความเร็วไปโดยปริยาย เพียงแต่ช่วงเวลานั้นยังไม่มีความคิดอยากจะเป็นนักแข่งรถ เพราะในวัยเด็กประมาณ 3-4 ขวบเขามักจะติดตามคุณพ่อไปดูการแข่งขันรถยนต์ที่สนามพีระเซอร์กิตอยู่เสมอ จึงทำให้โชคชะตาและคุณพ่อนำพาเขาเข้าไปฝึกงานที่ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จำกัด
ผลลัพธ์จากการคว้าทุนและรางวัลมาทำให้บ๊อบบี้ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตระหว่าง “การเรียนหรือการเป็นนักแข่งรถ” และสุดท้ายเขาก็เลือกเป็นนักแข่งรถ โดยพักการเรียนไว้ก่อน แม้ในช่วงแรกเขาจะทดลองเรียนหนังสือควบคู่กับไปการแข่งรถ แต่ไม่เวิร์กทั้งคู่
เขามีผลงานที่น่าภาคภูมิใจเช่น ร่วมทีมกับมาริทัลเรสซิ่ง และสามารถคว้าชัยชนะจาก “รายการฟอร์มูลา ซัพพอร์ต” ส่วนรายการฟอร์มูลา บีเอ็มดับเบิลยู เวิลด์ ไฟนอล 2006 เขาได้ที่สอง และคว้าแชมป์รุ่นนักแข่งเอเชียรายการ ฟอร์มูล่า เรโนลต์ (Asian Formula Renault Challenge) ที่ปักกิ่ง รวมถึงผลงานล่าสุดคว้าแชมป์ที่ประเทศมาเลเซีย และเก็บประสบการณ์การแข่งขันในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ได้ยินคำว่า รถแรงที่สุด เร็วเร็วที่สุด หัวใจก็สั่นระรัว ความสามารถของผู้ผลิตที่ก้าวหน้าไปพร้อมเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้รถแรงถือกำเนิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งในประเทศไทยการแต่งรถ หรือลงกล่อง ECU กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ตามหาอุปกรณ์แต่งเครื่องยนต์ เพิ่มแรงม้าเครื่องดีเซล แต่กล่องเพิ่มแรงม้าคุณภาพดีก็มีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ วันนี้ DynoArtPower จะพาคุณไปดู 10 อันดับ รถซุปเปอร์คาร์แรงทะลุโลก ประจำปี 2015 จนทำให้คุณอยากมีไว้ในครอบครองสักคันเลยล่ะ
อันดับที่ 10 Gumpert Apollo
ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4,200 ซีซี กำลัง 650 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที จากประเทศเยอรมนี กัมเพิร์ต อพอลโล่ ซึ่งแม้จะหยุดการผลิตไปตั้งแต่ปี 2012 แต่ความเร็วยังคงอยู่ในระดับที่สูงจนต้องติดอันดับ 362 กม./ชม.ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 450,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14 ล้านบาท)
อันดับที่ 9 Pagani Huayra
เครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ ขนาด 6,000 ซีซี จากเมอร์เซเดส เอเอ็มจี 720 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที พากานิ ไวร่า รถสปอร์ตที่นำชื่อของเทพเจ้าแห่งสายลมของชาวอินคามาใช้ และทำได้อย่างสมศักดิ์ศรี อยู่ที 370 กม./ชม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 849,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 27 ล้านบาท)
อันดับที่ 8 Zenvo ST1
เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ขนาด 7,000 ซีซี 1,104 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.9 วินาที ซูเปอร์คาร์รุ่นแรกจากประเทศเดนมาร์ก เซนโว เอสที1 มาพร้อมกับรูปลักษณ์ดุดัน โดยจะผลิตเพียง 15 คัน เท่านั้น วิ่ง 374 กม./ชม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.225 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 39 ล้านบาท)
[...]นอกจากหน้าตาดี มีรถขับ โทรศัพท์ถ่ายรูปได้แล้ว มีรถแรง รถซิ่งอย่างเดียวคงไม่ได้ เรื่องความสามารถก็ต้องมาเป็นที่หนึ่ง ทำให้บางครั้งเราก็อยากรู้ว่าเขามีวิธีแต่งรถยังไงให้เร็วได้ถึงขนาดนั้น เพิ่มแรงม้าเท่าไหร่กัน สิ่งที่ทำให้นักขับเหล่านี้มีเงินมากมายมหาศาล ล้วนมาจากจุดเริ่มต้นหลายๆอย่าง ฟังดูแล้วก็อยากมีรถคู่ใจสักคันไว้อวดสาว วันนี้ DynoArtPower จะพาไปดู 8 อันดับ นักขับที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลกกัน
1. Fernando Alonso
นักขับสัญชาติสเปน ทีม McLaren แชม์โลกการแข่งขัน Formula 1 ในปี 2005 และ 2006 ผู้ที่หยุดความร้อนแรงของ Michael Schumacher ในยุค Ferrari ได้ ปัจจุบันมีค่าตัวอยู่ที่ 35 ล้านยูโร
2. Sebastian Vettel
นักขับสัญชาติเยอรมัน ทีม Ferrari ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในนักขับที่ดีที่สุด ด้วยผลงานแชมป์โลก Formula1 ทั้งหมด 4 สมัย ชนะ 39 ครั้ง โพล 45 ครั้ง และเวลาต่อรอบเร็วที่สุด 22 รอบ แถมยังเป็นคุณพ่อมือใหม่อีกด้วย ปัจจุบันมีค่าตัวอยู่ที่ 28 ล้านยูโร
3. Lewis Hamilton
นักขับสัญชาติอังกฤษ ทีม Mercedes ด้วยสถิติที่ดูเข้าท่าเข้าทาง เป็นแชมป์ GP2 ในปี 2006 และได้รับการดันขึ้น Formula 1 ในปี 2007 ได้ขึ้นโพเดียมตั้งแต่ครั้งแรกที่แข่งขัน แพ้ Raikkonen เพียงคะแนนเดียวเลยพลาดแชมป์ไป ปัจจุบันมีค่าตัวอยู่ที่ 25 ล้านยูโร
4. Kimi Raikkonen
นักแข่งสัญชาติ ฟินแลนด์ ทีม Ferrari มีฉายาว่าไอซ์แมน เขาเคยเป็นแชมป์ร่วมกับทีม Lotus [...]
การวอร์มแบตเตอรี่เป็นการกระตุ้น และตรวจเช็คสภาพความพร้อมของระบบต่างๆของเครื่องยนต์ เพราะเวลาที่อุณหภูมิเย็นประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จะลดลง ถ้าไม่อยากให้เครื่องยนต์สึกหรอได้ง่ายเรามีวิธีมาแนะนำดังนี้
1.ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรเช็คระบบเกียร์ทุกครั้ง สำหรับระบบธรรมดา เกียร์ควรอยู่ในช่องเกียร์ว่าง ส่วนระบบเกียร์อัตโนมัติควรอยู่ที่ N หรือ P จากนั้นดึงเบรกมือไว้ เพื่อป้องกันการเคลื่อนของรถยนต์ขณะสตาร์ท
2.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถยนต์ทั้งหมด เช่น เครื่องปรับอากาศ, เครื่องเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่ เพื่อให้แบตเตอรี่มีกำลังไฟที่เพียงพอในการสตาร์ท
3.บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON เพื่อเช็คการทำงานของระบบต่างๆ รวมทั้งไฟสัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดทุกครั้ง ถ้าไม่มีสัญญาณไฟเตือน จึงค่อยๆ สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อวอร์มเครื่องยนต์และชาร์จประจุไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่
4.การวอร์มเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงวิธีการเหยียบคันเร่งหรือเคลื่อนที่รถยนต์ ควรใช้วิธีสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ต่างๆ มีอุณหภูมิที่เหมาะสม
5.หลีกเลี่ยงการวอร์มเครื่องยนต์ในสถานที่ปิด หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย
6.ช่วงระยะทาง 1-2 กิโลเมตรแรกในการขับรถยนต์ ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของน้ำมันหล่อลื่น
เพียงเท่านี้เครื่องยนต์ของคุณก็จะมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น พร้อมออกไปซิ่ง โชว์แรงม้า ได้อย่างเต็มเหนี่ยวแล้ว
Note: เครื่องยนต์ Monthly Search =5,400 (10.27 บาท)
แบตเตอรี่ =22,200(12.5 บาท)
สตาร์ท =1,600(0 บาท)
ซิ่ง =720(0 บาท)
แรงม้า =590(0 บาท)
รถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ออกมาให้เราเห็นทุกวันนี้ หนีไม่พ้นความเร็ว ความแรง อยู่แล้ว แต่นั่นเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่เครื่องยนต์ต้องมี ยางรถยนต์ชิ้นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ รถจะซิ่ง จะขับเคลื่อนได้ดี คุณภาพของยางเกี่ยวข้องโดยตรงแน่นอน เพื่อความสุนทรียะผู้เชี่ยวชาญได้พัฒนาการผลิตยางรถยนต์ออกมามากมาย มาดูกันว่าความหมายของเสียงยางต่างๆแปลว่าอะไรบ้าง
1. เสียงดอกยาง : ขณะยางวิ่งสัมผัสพื้นถนนอากาศจะถูกอัดอยู่ภายในร่องดอกยางกับพื้นผิวถนน เมื่อยางวิ่งต่อไปอากาศจะขยายตัวออกจากร่องยางทำให้เกิดเสียงขึ้น เสียงจะเกิดขึ้นต่อเนื่องซ้ำอยู่ตลอดเวลาด้วยความถี่ คงที่
2. เสียงแหลม : ดัง “เอี๊ยด” เกิดจากการออกรถหรือหยุดรถอย่างกะทันหันหรือขณะเลี้ยวรถมุมแคบอย่างทันทีท้นใด เสียงดังกล่าวเป็นตัวชี้ให้ทราบว่าผู้ขับรถได้ใช้งาน จนเกินความสามารถของยางที่จะรับได้ ความสามารถในการยืดเกาะถนน
3. เสียงถนน : ผิวถนนในปัจจุบันนี้มีอย่างมากมายหลายประเภท เช่น คอนกรีตผิวเรียบ,คอนกรีตมีร่องเล็กๆ ตามแนวขวาง, แอสฟัสต์ผิวเรียบ แอสฟัสต์มีหินลอย, ทางลูกรัง ฯลฯ เวลาขับรถผ่านผิวถนนดังกล่าวก็จะเกิดเสียงต่างๆกันออกไป
4. เสียงสะเทือน : เสียงนี้เกิดขึ้นจากความสั่นสะเทือนของยางเมื่อวิ่งผ่านผิวถนนที่มีสภาพผิดปกติ เช่น เป็นหลุม ,แตกร้าว หรือเนื่องจากความไม่สมดุลของยาง
5. เสียงดอกยางบิดตัว : เป็นเสียงที่เกิดขึ้นเนื่องจากการบิดตัวไม่สัมผัสถนน ของดอกยางบางส่วนเกิดขึ้นในขณะเลี้ยวโค้ง แต่ไม่รุนแรงถึงกับหน้ายางลื่นไถล
เสียงยางรถยนต์สามารถบางบอกถึงสาเหตุต่างๆได้ อาจจะมีผลต่อประสิทธิภาพของความความเร็ว ความแรง เพื่อเป็นแนวทางในการบำรุงรักษาต่อไป สละเวลาสักนิดพาคู่ซี้ไปพบคุณหมอที่อู่เพื่อความปลอดภัยนะจ๊ะ
เรายังต้องมีตรวจสุขภาพประจำปีแล้วเพื่อนซี้คุณล่ะ เคยพาเค้าไปด้วยหรือเปล่า? ถึงแม้เค้าจะมีล้อขับเคลื่อนไปได้ทุกๆที่ แต่เค้าก็ไม่สามารถจะปริปากบอกคุณได้ว่าเค้าไม่สบาย เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา เจ้าเพื่อนร่วมทางที่ไปไหนไปกัน วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้บางทีเราลืมเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ควรหันกลับไปมองเพื่อนซี้คันนี้ ตารางเช็คสภาพรถยนต์ คงเป็นประโยชน์เล็กๆน้อยๆที่คุณสามารถดูแลเค้าได้
1. เครื่องยนต์ . เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น 3,000 – 5,000 กิโลเมตร(1 ปี) 2. ระบบจุดระเบิด . เปลี่ยนหัวเทียน 20,000 กิโลเมตร (1 ปี) 3. แบตเตอรี่ . ตรวจสอบระดับของเหลวในแบตเตอรี่ ทุกสัปดาห์ ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ 1,500 กิโลเมตร (1 เดือน) 4. ระบบหล่อเย็น . ตรวจสอบฝาหม้อน้ำ 1,500 กิโลเมตร (1 เดือน) เปลี่ยนสายพาน 40,000 กิโลเมตร (2 ปี) เปลี่ยนน้ำหล่อเย็น 20,000 กิโลเมตร (1 ปี) ล้างหม้อน้ำ 20,000 กิโลเมตร (1 ปี) 5. ระบบเชื้อเพลิง . ทำความสะอาดกรองอากาศ 5,000 กิโลเมตร (3 เดือน) เปลี่ยนกรองอากาศ 20,000 กิโลเมตร (1 ปี) เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง 40,000 กิโลเมตร (2 ปี) 6. เครื่องปรับอากาศ . ทำความสะอาดคอยล์ร้อน 5,000 กิโลเมตร (3 เดือน) เปลี่ยนสายพานแอร์ 40,000 กิโลเมตร (2 ปี) เปิดเครื่องปรับอากาศ ให้ทำงาน 3-4 นาที สัปดาห์ละครั้ง ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาว 7. ระบบถ่ายทอดกำลัง . เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ 30,000 กิโลเมตร(1 1/2 ปี) เปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย 20,000 กิโลเมตร(2 ปี) ตรวจสอบ ระยะฟรีของแป้นคลัตช์ 10,000 กิโลเมตร(6 เดือน) เปลี่ยนน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ 40,000 กิโลเมตร(2 ปี) 8. ระบบเบรค . ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรค 1,500 กิโลเมตร (1 เดือน) ปรับเบรคมือ ตามความจำเป็น 9. [...]