ใช้งานกี่ปี ถึงได้เวลาในการเปลี่ยนยางรถยนต์?

.          โดยปกติแล้วผู้ผลิตยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะรับประกันอายุการใช้งานอยู่ที่ 4-6 ปี นั่นแสดงว่าความทนทานของยางมีมากกว่าที่เราใช้งานจริง ซึ่งความจริงแล้วยางรถยนต์จะถูกระบุมาจากโชว์รูมผู้จำหน่ายรถยนต์ว่า ควรเปลี่ยนทุกๆ 3-5 ปี หรือประมาณ 50,000 กิโลเมตร และ สลับยางทุกๆ 10,000-15,000 กิโลเมตรเช่นเดียวกัน

.          จริงๆแล้วยังต้องขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานจริงของรถยนต์แต่ละคัน ประเภทของการใช้งาน สภาพถนนที่ใช้งาน และพฤติกรรมการขับขี่อีกด้วย ดังนั้น การได้เปลี่ยนยางรถทุกๆ 3 ปี หรือ 50,000กิโลเมตร ก็เหมือนการตรวจสุขภาพฟันประจำปี เพื่อผลลัพท์ที่ดีและเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นั่นเอง ดังนั้นจะขอแยกเป็น 2 หัวข้อเด่น นั่นคือ

160901_Dyno_FA_002_ใช้งานกี่ปี ถึงได้เวลาในการเปลี่ยนยางรถยนต์_pic1

.          การเปลี่ยนยางทุกๆ 3 -5 ปี หรือระยะ 50,000 กิโลเมตรนั้น ก็เพื่อเป็นการช่วยให้เราไม่ต้องเจอสภาวะการที่ยางรถยนต์เสื่อมสมรรถภาพในระหว่างการเดินทาง หรือเผลอๆ อาจถึงขนาดเกิดยางล้อรั่ว หรือ ยางระเบิดกลางทาง ก็เป็นได้ เรียกว่าเป็นการป้องกันก่อนปัญหาเกิด แต่ในกรณีที่ต้องได้รับการเปลี่ยนยางโดยทันทีทันใด มีดังนี้

1. ดอกยางสึกหรอ
– ไม่ว่าจะเป็นสึกหรอเท่ากันทั้งหน้ายาง หรือสึกหรอแค่บางส่วนก็นับว่าต้องเปลี่ยนใหม่ทันที หากความลึกของดอกยางไม่ถึง 1.5 มิลลิเมตร เพราะระดับความลึกนี้จะทำให้รีดน้ำได้ไม่ดี ก่อให้เกิดอันตรายได้

– วิธีวัดความลึกของร่องดอกยาง คือ ใช้เหรียญบาท เมื่อนไปเสียบในร่องยางต้องลึกไม่ต่ำกว่าครึ่งนึงของเหรียญบาท อีกวิธีที่นิยมมากที่สุดคือ สังเกตตุ่มในร่องดอกยาง หากพบว่าหน้ายางเสมอกับตุ่มแสดงว่าสึกหรอมาก หรือ สังเกตจากสัญลักษณ์สามเหลี่ยมด้านข้างแก้มยางก็ได้ ถ้าพบว่าเสมอกัยให้รีบเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที

151218_dyno_line_v2
151126_dyno_banner_v3

2. ยางบวม
– ยางรถยนต์ที่ใช้มานาน เมื่อหมดสภาพมักมีอาการบวมที่แก้มยางหรือหน้ายาง ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที เพราะอาจก่อให้เกิดการระเบิดได้เมื่อขับที่ความเร็วสูง
– อาการต้องสงสัย คือ เมื่อขับเร็ว ตัวรถจะสะท้านสั่นทั้งคัน ทั้งที่ตั้งศูนย์ถ่วงล้อก็ไม่หาย หรือ พวงมาลัยสั่น เป็นต้น

3. ยางฉีกขาด
– ไม่ว่าจะมีการฉีกขาดจุดก็ตาม ต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที

4. ยางแตกลายงา
– ยางบางรุ่นมีความแข็งแรงทนทานของหน้ายางที่ดี ดอกยางสึกหรอน้อย แต่เมื่อสังเกตใกล้ๆ อาจเห็นเป็นรอยแตกลายงา หรือ รอยย่น แสดงว่ายางเสื่อมต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที

5. มีอายุนับจากปีผลิตเกิน 3 ปี
– แม้อายุการใช้งานจะใช้ได้เกินกว่า 4 ปี แต่ด้วยสภาพอากาศ ถนนในประเทศที่แปรปรวน จึงควรเปลี่ยนแต่เนิ่นๆ ให้สังเกตว่ายางที่ใช้อยู่ผลิตที่ปีไหน เช่น 0316 แปลว่า ผลิตเดือน 3 ปี 2016

ยางรถยนต์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งยี่ห้อชั้นนำจากญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป และฝั่งอเมริกา มีทั้งความแตกต่างของขนาดล้อ และตามการใช้งาน ซึ่งหน้าที่สำคัญของยางรถยนต์คือ การทำให้รถเกาะถนนได้ดี ไม่ส่ายไปส่ายมาเวลาเบรคหรือเลี้ยว ยางรถยนต์ทำมาจากยางธรรมชาติผสมกับยางสังเคราะห์ ผงคาร์บอน น้ำมัน สารเคมีและอื่นๆ เสริมด้วยความแข็งแรงของชั้นผ้าใบที่ทำมาจากเส้นด้ายไนลอน หรือ โพลีเอสเตอร์และเส้นลวดเหล็ก โดยในส่วนของโครงสร้างของยางประกอบด้วยส่วนสำคัญ คือ หน้ายาง ไหล่ยาง แก้มยาง และขอบยาง
• หน้ายาง
เป็นส่วนที่สัมผัสกับถนน เพื่อใช้ในการขับเคลื่อน หรือยึดเกาะถนน หน้ายางของรถยนต์ทั่วไปจะทำเป็นดอกยาง และร่องยาง เพื่อใช้ในการรีดน้ำออกจากผิวถนน และผลักดันกับผิวถนน

• ไหล่ยาง
เป็นส่วนต่อระหว่างหน้ายางกับแก้มยาง จะช่วยในการระบายความร้อนออกจากหน้ายางและแก้มยาง

• แก้มยาง
เป็นส่วนที่เป็นผ้าใบหุ้มด้วยยางและมีลมดันจากภายในเพื่อให้ยางรักษารูปร่าง อีกทั้งยังเป็นส่วนที่มีการรับแรงกดจากน้ำหนักรถ และแรงดันด้านข้างจากการเลี้ยวรถ รวมทั้งยังทำให้เกิดการยืดหยุ่นและเกิดความนุ่มนวลในการขับขี่
• ขอบยาง
เป็นส่วนที่รัดกับขอบของกระทะล้อให้ยางและล้อกระทะล้อยึดติดเป็นส่วนเดียวกัน ป้องกันการรั่วลองลมออกจากยาง
• ดอกยาง
การเปลี่ยนยางจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น หากขับขี่ในเมือง ถนนเรียบปกติ ควรเลือกดอกละเอียด ร่องยองไม่ห่าง เพื่อไม่ให้พื้นผิวสัมผัสกับหน้าถนนจนมากเกินไป อีกทั้งยังรีดน้ำได้อย่างรวดเร็ว มีเสียงรบกวนน้อย
วิธีดูค่าความหนึบของยาง คือ เทรดแวร์ (Tradeware)
หากตัวเลขยิ่งน้อย = เกาะถนนมาก
หากตัวเลขยิ่งมาก = เกาะถนนได้น้อย

– ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง (Non-Directional) : สามารถสลับยางได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะมีดอกยางสวนทางกัน ไม่เน้นเรื่องความเร็วสูงมากนัก ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย
– ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Directional) : ลักษณะเป็นไปในทิศเดียวกัน มีสัญลักษณ์ลูกศร (Rotation) แสดงไว้ที่บริเวณแก้มยาง เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งของทิศทางของการหมุนของล้อให้ใส่ประกอบได้อย่างถูกต้อง ดอกยางแบบทิศทางเดียวถูกออกแบบมาให้รีดน้ำได้มากกว่าแบบ 2 ทิศทาง เพื่อควบคุมการขับขี่อย่างมั่นคง และสามารถใช้ความเร็วสูงได้ดี
– ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (Asymmetric) : ลายดอกยางด้านในและด้านนอกมีความต่างกัน เกิดจากการออกแบบให้หน้ายางด้านในเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ทางตรง และความเร็วสูง หน้ายางด้านนอกทำหน้าที่ยึดเกาะบนทางโค้งได้ดี เหมาะสำหรับเมืองที่มีถนนโค้ง คดเคี้ยวมาก หรือสำหรับรถยนต์บางยี่ห้อเป็นพิเศษในการขับขี่เข้าทางโค้งเร็วสูง

เป็นยังไงบ้างคะ กับความรู้พื้นฐานเรื่องยางที่คนใช้รถยนต์ไม่ควรพลาด เพราะแน่นอนว่า มีผลต่อความปลอดภัยเป็นหลักเลยเชียว บทความหน้าเราจะพาทุกท่านไป ‘อ่านความหมายของตัวเลขและตัวอักษร’ ในยางแต่ละรุ่นกัน ว่ามีความหมายอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการบอกเดือนปีที่ผลิต สมรรถภาพสูงสุดของยาง เพื่อการใช้ประโยชน์ หรือ หากต้องการนำไปดัดแปลงเป็นยางรุ่นอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน รอติดตามกันนะคะ

รู้อย่างนี้แล้วต้องลองมาพิสูจน์กันหน่อย พวกเราทีมงานผู้เชี่ยวชาญ DynoArtPower ยินดีให้คำแนะนำเสมอ แล้วพบกันครับ
151126_dyno_button_web
151126_dyno_button_vdo