1.เปิดไฟหน้า

.          ไฟหน้าช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ทั้งคุณ และผู้ขับขี่รถคันอื่น ควรใช้ไฟฉุกเฉินเฉพาะเวลาจอดรถ และต้องการให้รถคันอื่นหลบเลี่ยง ถ้ารถของคุณมีไฟตัดหมอก ควรเปิดใช้งาน

2.รักษาความเร็วที่สามารถควบคุมได้

.          ลดความเร็วเมื่อขับขี่บนถนนเปียกลื่น ต้องแน่ใจก่อนว่าสามารถหยุดรถได้ในระยะที่มองเห็น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการรถลอยตัวหรือเหินน้ำ

3.การขับขี่บนถนนที่มีน้ำท่วมขัง

.          ควรหลีกเลี่ยงการขับรถผ่านถนนที่มองไม่เห็น หรือไม่สามารถขับผ่านได้ หรือ สำหรับรถเอสยูวีและรถกระบะขนาดใหญ่ สามารถแล่นผ่านถนนที่มีน้ำท่วมสูงได้ แต่ต้องตรวจสอบว่ารถขับผ่านระดับน้ำได้สูงเท่าใด

.          ควรรักษาความเร็วให้คงที่และไม่เร่งเกินไป การลดกำลังของเครื่องยนต์อาจทำให้น้ำทะลักเข้าสู่ท่อไอเสียและกรองอากาศด้านหน้าด้วย อาจทำให้ เกิดความเสียหายอย่างมาก

4.ปิดแอร์

.          ควรปิดแอร์และเปิดหน้าต่าง การขับขี่บนถนนที่มีน้ำท่วมขังขณะเปิดแอร์อาจทำให้เครื่องยนต์ดับ และอาจทำให้น้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ ซึ่งจะทำให้พัดลมเสียหายได้ นำไปสู่ปัญหาความร้อนของเครื่องยนต์ที่สูงเกินไป

5.ขับอย่างนุ่มนวล

.          ขับขี่ด้วยความนุ่มนวลและหลีกเลี่ยงการเบรกหรือหักเลี้ยวกะทันหัน ควรเบรกก่อนเข้าโค้ง และเร่งออกอย่างนุ่มนวล

.          ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควรเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำกระเซ็น ควรขับตามรอยยางรถคันหน้าเนื่องจากระดับน้ำจะน้อยกว่าส่วนอื่นของถนน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาการลอยตัวหรือเหินน้ำ

– ยางชำรุดและดอกยางตื้นเกินกว่าที่จะรีดน้ำออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– ขับรุด้วยความเร็วเกินไปจนไม่สามารถรีดน้ำได้

– มีน้ำขังบนถนนมากเกินไป

อาการเหินน้ำเป็นอย่างไร และควรทำอย่างไร

– รถไม่ตอบสนองต่อการควบคุมและพวงมาลัยมีน้ำหนักเบากะทันหัน

– รอบเครื่องยนต์จะเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างกะทันหันในขณะที่ความเร็วรถไม่เพิ่มขึ้น

– ควรลดความเร็วลงด้วยการผ่อนคันเร่ง แต่ไม่ควรผ่อนทั้งหมด

– ไม่ควรเบรก

– ไม่ควรใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

– ถ้าหากรถเริ่มลื่น ผู้ขับควรควบคุมพวงมาลัยไปในทิศทางที่ต้องการให้รถมุ่งไปจนกว่ารถจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ

– การควบคุมด้วยความนุ่มนวลมีความสำคัญ

รู้อย่างนี้แล้วต้องลองมาพิสูจน์กันหน่อย พวกเราทีมงานผู้เชี่ยวชาญ DynoArtPower ยินดีให้คำแนะนำเสมอ แล้วพบกันครับ